25 สิงหาคม 2552

สายพันธุ์ของเจ้าแมวเหมียวๆๆๆๆ

"แมวเบงกอล"

ใครที่แอบชอบในความน่ารัก(ไม่นับนิสัยดุร้าย) ของเสือ จนอยากเข้าไปกอด หรือมีไว้ในครอบครองดูบ้าง แต่ก็ได้แต่ฝันเพราะหากเป็นเรื่องจริงคงถูกเจ้าเสือขย้ำเอาเสียก่อน ถ้างั้น... ลองมาดู "แมวเบงกอล" แมวป่าที่ผสมกับแมวบ้าน จนเกิดลวดลายสวยงาม รูปร่างหน้าตาไม่ต่างจากแมวบ้าน ดูไปดูมาเหมือนลูกเสือดาวน้อย และยังเป็นที่นิยมในหมู่ไฮโซด้วย เพราะสนนราคาต่อตัวค่อนข้างสูง



ที่สำคัญนิสัยของเจ้าแมวเบงกอลก็ไม่ได้ดุดันอย่างที่กำลังคิดกันด้วยนะ แถมยังเชื่องแสนเชื่อง เป็นมิตร ชอบอยู่กับคน น่ารัก และคล่องแคล่วปราดเปรียว มีนิสัยชอบวิ่งไล่สิ่งของ หรือวัตถุ ชอบปีนป่าย ชอบไล่จับหนู หากไม่มีอะไรให้เล่นก็จะของเล่นด้วยตัวเอง มีเสียงร้องที่ฟังแล้วเหมือนแมวป่าค่อนข้างมาก ส่วนสัญชาตญาณความเป็นสัตว์ป่าที่คงหลงเหลือให้เห็นอยู่ กลับกลายเป็นลักษณะเด่นของแมวเบงกอล นั่นคือ ความมั่นใจในตนเอง ความกล้าหาญ ไม่ขลาดกลัว และความเฉลียวฉลาดในการเอาตัวรอด และที่แตกต่างจากแมวเกือบทุกชนิดอย่างมาก คือ แมวเบงกอลมีนิสัยชอบเล่นน้ำอย่างมาก!?!?!



ทั้งนี้ แมวเบงกอล (Bengal) เป็นแมวที่ผสมข้ามสายพันธุ์ ระหว่างแมวดาว (Asian Leopard Cat) กับแมวบ้าน (Domestic Shorthair) ในที่นี้คือ Egyptian Mau คือ พันธุ์แมวอียิปต์โบราณ และมีโครงสร้างเป็นหลายจุด มีลักษณะที่เหมือนแมวป่า (wild cat) ซึ่งการผสมข้ามสายพันธุ์ของแมวดาว กับ E.Mau and Ocicat



การกำเนิดขึ้นของแมวเบงกอล เริ่มโดยคุณ Jean Mills หญิงชาวมลรัฐอริโซนา ประเทศอเมริกาที่หลงใหลในลวดลายของแมวป่า เธอใช้เวลาถึง 20 ปี (เริ่มมาตั้งแต่ปี 1980 หรือ 2523) ในการพัฒนาให้มีจุด (Spotted ที่ใหญ่และแมวตัวผู้ไม่เป็นหมัน (แมวตัวผู้จะเป็นหมันใน F1 and F2) จนสามารถสร้างจุดให้ใหญ่และมีสีที่ตัดกันในจุดมากขึ้นด้วย และเธอตั้งชื่อสายพันธุ์นี้ว่า เบงกอล ตามชื่อวิทยาศาสตร์ของแมวป่าที่เรียกกันว่า Felis bengolensis นั่นเอง

"ลักษณะประจำพันธุ์"



แมวเบงกอล เป็นแมวขนาดปานกลางถึงค่อนข้าง หัวมีความยาวมากกว่ากว้าง เนื่องเพราะถูกผสมโดยควบคุมลักษณะให้มีรูปร่างคล้ายแมวป่า เพรียว ยาว เห็นมัดกล้ามเนื้อแบบนักล่าชัดเจน โฑดยที่มักจะมีความสูงส่วนสะโพกสูงกว่าความสูงของช่วงไหล่ หาวส่วนมากจะมีปลายชี้ลง ใบหูกลม สั้น ตารูปไข่ (oval) ช่วงโคนหนวดเด่น ช่วงปากและรอบจมูกกลมกว่าแมวบ้าน จุดที่เด่นที่สุดของแมวเบงกอลได้แก่ลายแลีสีขนที่อาจเป็นจุดแบบแมวป่า หรือลายหินอ่อน



หากเริ่มสนใจจะหาเจ้าเหมียวพันธุ์เบงกอลมานอนกอดสักตัวแล้วล่ะก็ ต้องเลือกซื้อแมวเบงกอลที่มีสายตา ต้อง มีโครงสร้างใหญ่ ลำตัวยาว มีลวดลายบนตัวที่เด่นชัดขนาดเท่าหัวแม่มือ จุดด้านข้างลำตัวมีขนาดใหญ่และเรียงตัวอย่างไม่เป็นระเบียบในแนวนอน แมวเบงกอลบางตัวจะมีลวดลายโรเซ็ทที่เป็นจุดขนาดใหญ่ที่มีสีอ่อนกว่าตรงกลาง จุด คล้ายๆ กับลายของเสือจากัวร์ ซึ่งเป็นที่ต้องการมากกว่าแมวที่มีจุดสีเดียวตามปกติ …



ลายทางที่หน้าผากควรมีสีเข้ามลากยาวในแนวนอนจากหางตาไปถึงใบหู และควรมีเส้นสีเข้มเป็นสร้อยคอยาวรอบๆ คอเฉียบคม ขนเงานุ่ม ใบหน้าของลูกแมวนั้นต้องมีลักษณะที่แสดงถึงความเป็นแมวป่า มีขอบตาดำสนิท เส้นที่ใบหน้าเข้ม ริมฝีปากใหญ่เต็ม มีหางที่หนา มีจุดที่ขาหรือเป็นวงที่ไม่เต็มวงรอบๆขา มีสีอ่อนบริเวณรอบปาก คอ และขาด้านใน ดวงตานั้นสามารถจะเป็นสีเขียว สีทอง หรือสีเหลือง



"อาหารและการเลี้ยงดู"



ปัจจุบันแมวเบงกอลเริ่มเป็นที่รู้จักในไทยมากขึ้น แต่อาจยังแพร่หลายเช่นแมวชนิดอื่นๆ เนื่องจากยังมีราคาค่อนข้างสูง ดังนั้น เมื่อตัดสินใจซื้อมาแล้ว ควรใส่ใจดูแลอย่างดี ซึ่งวิธีการเลี้ยงก็ใกล้เคียงกับแมวทั่วๆ ไป เพราะถือป็นแมวบ้านเช่นเดียวกับแมวสายพันธุ์อื่น



แต่ถ้าหากอยากให้แมวสวย สุขภาพดี และมีขนที่สวยงาม การเลือกอาหารที่ดีให้กับแมวนั้นจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ อาหารสำเร็จรูปที่ดีจะช่วยให้คุณมั่นใจว่าขนและสุขภาพของแมวนั้นจะสวยที่สุด ส่วนเรื่องของการตัดเล็บ อาบน้ำ แปรงขน เช็ดหู และทำความสะอาดส่วนต่างๆนั้น จะเหมือนกับแมวทั่วๆ ไป



เรื่องอาหาร แมวเบงกอลอาจจะต้องการเนื้อสัตว์ในปริมาณที่มากกว่าแมวทั่วไปเล็กน้อย โดยผู้เลี้ยงอาจจะให้เนื้อวัวสดวันละครั้งเพิ่มเติมจากอาหารที่กินอยู่เป็นประจำ ซึ่งจะไม่ทำให้ท้องเสียหรือเสียสุขภาพ เนื้อสดที่ให้ควรระมัดระวังความสะอาดด้วยการแช่แข็งเอาไว้เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อราและแบคทีเรีย และควรเก็บเนื้อที่เหลือทิ้งทันที อย่างไรก็ตาม ห้ามให้เนื้อไก่หรือเนื้อหมูสดเด็ดขาดขอขอบคุณข้อมูลจาก



- thaipost.net



- bangkokbengals.net


----------------------------------



" แมวขาวมณี "



ลักษณะประจำพันธุ์ของแมวขาวมณี


"ลักษณะสีขน"

ขนสั้นแน่นและอ่อนนุ่ม สีขาวไม่มีสีอื่นปน สีผิวหนังเป็นสีขาวปลอดทั้งตัว



"ลักษณะของส่วนหัว"

รูปร่างไม่กลม หรือแหลมเกินไป แต่คล้ายรูปหัวใจ ผน้าผากใหญ่และแบน จมูกสั้น หูตั้งใหญ่



"ลักษณะของนัยน์ตา"

นัยน์ตาสีฟ้า หรือสีเหลืองอำพัน



"ลักษณะของหาง"

หางยาว ปลายหางแหลมชี้ตรง โคนหางใหญ่และค่อยๆ เล็กเรียวกลมไปจนสุดปลายหาง ขาวยาวเรียวได้สัดส่วนกับลำตัว



"ลักษณะที่เป็นข้อด้อยของพันธุ์"

ขนมีสีอืนปน นัยน์ตาสองข้างเป็นคนละสี หรือเป็นสีอื่น ตาเอียง จมูกหัก หูไม่ตั้ง หางสั้นมากเกินไป (เมื่อยืดขาหลังให้ขนานกับหาง ความยาวของหางสั้นกว่าขาเกิน 3 นิ้ว) หางขอด หางหงิกงอ หางสะดุด ปลายหางคด ดุเกินไป เลี้ยงลูกไม่ดี


--------------------------------------




" แมวเปอร์เซีย "




แมวเปอร์เซีย ถือเป็นราชินีแมวจากแดนตะวันออกกลางที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก เพราะเป็นแมวขนยาว หน้าตาน่าเอ็นดู หัวกลมสวย ตากลมโต มีหลายสีขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ รวมถึงหน้าตาก็มีหลายแบบ มีอุปนิสัยอ่อนโยน เข้ากับคนง่าย ร่าเริงซุกซน ชอบประจบประแจง และมีไหวพริบ ซึ่งแมวพันธุ์นี้นับเป็นแมวต่างประเทศที่ถูกนำเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทยเป็นพันธุ์แรกด้วย

แมวเปอร์เซียมีถิ่นกำเนิดอยู่แถบเปอร์เซีย หรือประเทศตุรกี และอิหร่านในปัจจุบัน โดยในปี ค.ศ. 1684 ได้มีการบันทึกลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับที่มาของ แมวเปอร์เซีย หรือแมวเปอร์เซียน (Persian Cats) ว่า พ่อค้าทะเลทราย (หรือที่เรียกว่ากองคาราวาน) ทางแถบๆ ตะวันตกของตุรกีและอิหร่าน มักบรรทุกสินค้ามากมาย อาทิเครื่องเทศน์ อัญมณี และสินค้ามีค่าอื่นๆ ซึ่งบางครั้งก็มีแมวขนยาวติดมาด้วย แมวขนยาวนั้นถูกซื้อโดยกะลาสีและได้นำแมวติดไปกับเรือสินค้าเดินทางเข้าทวีป ยุโรป ซึ่งหลายปีต่อมาแมวพันธุ์นั้นถูกรู้จักในชื่อ เตอร์กิส แองโกร่า (Turkish Angora)

ต่อมาในปลายศรรตวรรษที่ 19 ชาวอังกฤษเริ่มผสมพันธุ์แมวเตอร์กิส แองโกร่า กับแมวสายพันธุ์อื่น และพัฒนาจนได้แมวที่มีขนหนาและยาวกว่าเดิม กระทั่งในที่สุดแมวพันธุ์นี้ก็ได้รับการยอมรับและจดทะเบียนขึ้นที่ประเทศอังกฤษในชื่อว่า Longhair ซึ่งชื่อของมันก็ถูกตั้งขึ้นตามประเทศต้นกำเนิดนั่นเอง
นอกจากประเทศอังกฤษแล้ว แมวเปอร์เซียยังถูกนำไปเลี้ยงในประเทศต่างๆ ทั้งยุโรปและอเมริกามานานหลายร้อยปี ซึ่งอเมริกาจะเรียกแมวพันธุ์นี้ว่า Persian

"ลักษณะสายพันธุ์"

แมวเปอร์เซีย เป็นแมวที่มีขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีกระดูกที่ใหญ่และแข็งแรง หัวและหน้ากลม หน้าผากโหนก แก้มเต็ม ดวงตากลมโต และอยู่ในตำแหน่งที่ห่างกัน มีจมูกที่หัก กล่าวคือ สังเกตได้ชัดเจนเมื่อมองจากด้านข้างจะเห็นจุดหักระหว่างจมูกกับหน้าผากชัดเจน เมื่อมองจากด้านหน้าจะเห็นเป็นขีดอยู่ระหว่างดวงตา


สำหรับแมวเปอร์เซียที่มีลักษณะตรงตามมาตรฐานสายพันธุ์ ควรจะมีจมูกอยู่ในระดับเดียวกับตา โครงสร้างลำตัวสั้น ขาสั้นเตี้ย หูเล็กมีปลายหูที่กลมมน และอยู่ในตำแหน่งที่ห่างกัน หางสั้นและตรง ไม่มีรอยหัก ขนยาวฟู มีท่วงท่าการเดินดูสง่างาม ทั้งนี้ แมวเปอร์เซียในสมัยแรกๆ มีรูปร่างหน้าตาที่ต่างจากแมวเปอร์เซียในปัจจุบันมากทีเดียว ปัจจุบันมันถูกพัฒนาให้มีรูปร่างที่สั้นขึ้น ขนยาวขึ้น ถูกเปลี่ยนแปลงโครงร่างให้ใหญ่และกลม จมูกสั้นและหักมากขึ้น


อย่างไรก็ตาม แมวเปอร์เซียถูกแบ่งออกเป็น 7 ชนิด โดยแบ่งตามสี และลักษณะเป็นหลัก ดังนี้


1.Solid colour ขนจะเป็นสีเดียวตลอดตัว ไม่ควรมีสีอื่นแซมเลย สีจะต้องเสมอกันตลอด เช่น white ขนสีขาวบริสุทธิ์, blue ขนสีเทาเข้ม, black สีขนดำสนิท, red ขนสีแดงเข้มและสดใส, cream ขนสีครีมเข้ม, chocolate ขนสีน้ำตาสช็อกโกแลต, lilac ขนสีลาเวนเดอร์

2.Sliver&Golden ตาจะเป็นสีเขียวหรือสีเขียวอมน้ำเงินเท่านั้น
3.Shade&Smoke จะมีสีขน 3 แบบ คือแบบ Shell จะมีสีที่ปลายขนเพียงเล็กน้อย แบบ Shade จะมีส่วนที่เป็นสีมากกว่า และแบบ Smoke จะมีสีมากกว่าแบบ Shade

4.Tabby จะมีลวดลายที่เป็นที่ยอมรับอยู่ 2 แบบ คือ Classic และ Mackerel

5.Parti-colour จะเกิดขึ้นเฉพาะเพศเมียเท่านั้น อันสืบเนื่องมาจากการสืบทอดทางโครโมโซม

6.Calico & Bi-Color สีทั่วไปตาจะเป็นสีทองแดง ถ้าเป็นตาสองสีตาข้างหนึ่งจะเป็นสีฟ้า อีกข้างเป็นสีทองแดง ความเข้มของสีตาทั้งสองข้างเท่าๆ กัน
7.Himalayan เกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างแมวไทยวิเชียรมาสกับแมวเปอร์เซีย จะมีลักษณะแต้มสีตำแหน่งเดียวกับแมววิเชียรมาส คือหูทั้งสองข้าง ที่หน้าครอบเหมือนหน้ากาก ขาทั้งสี่ ตาสีฟ้าสดใส

"อาหารและการเลี้ยงดู"


อย่างที่ทราบกันไปแล้วว่า แมวเปอร์เซียเป็นแมวสายพันธุ์ต่างประเทศ ค่าเลี้ยงดูและค่าตัวอาจแพงสักหน่อย ทั้งนี้ ราคาของแมวเปอร์เซีย มีตั้งแต่หลักพันถึงหลักแสน ขึ้นกับเกรดของสายพันธุ์ สามารถแบ่งได้เป็น


** เกรดเพ็ด(PET Quality) ส่วนมากเป็นแมวที่เลี้ยงตามบ้านทั่วไป ราคาประมาณ 5,000-15,000 บาท จมูกยาว หน้าไม่บี้ หรือเรียกว่าหน้าตุ๊กตา


** เกรดทำพันธุ์และโชว์(Breed and Show Quality) ส่วนมากเป็นพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ เลี้ยงไว้เพื่อประกวด หรือโชว์ มีลักษณะของแมวเปอร์เซียที่ดีครบ โดยหน้าจะบี้ คือ จมูกและตาเกือบเสมอกัน


นอกจากนี้ ระดับของราคายังแบ่งเป็นสายพันธุ์ในประเทศอยู่ที่ 25,000-35,000 บาท สายพันธุ์นำเข้า 35,000-100,000 บาท หรือมากกว่านั้น ขึ้นกับสุขภาพของแมว และลักษณะเด่นตามสายพันธุ์


เมื่อตัดสินใจจะเลี้ยงแมวพันธุ์นี้แล้ว จงพึงระลึกไว้เสมอว่า การดูแลขนของแมวเปอร์เซียเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ผู้เลี้ยงต้องหมั่นทำความสะอาดถึงการแปลงและสางขนแมวอย่างสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันการเกิดขนพันกัน เพราะการที่ขนพันกันเป็นกระจุกนั้นจะเป็นแหล่งเพาะเชื่อโรครวมทั้งพยาธิต่างๆ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคผิวหนังอักเสบและเป็นที่อยู่ของเห็บหมัดอีกด้วย

ในเรื่องของอาหารการกินนั้น ควรเลือกอาหารที่ช่วยให้ทางเดินอาหารของแมวไม่อุดตัน เนื่องจากแมวเปอร์เซียจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเลียทำความสะอาดขน อันเป็นสาเหตุในการกินหรือกลืนเส้นขนเข้าไปเป็นจำนวนมาก หากเส้นขนจะไปรวมตัวกันในช่องท้องจะทำให้แมวเปอร์เซียสำรอกหรือเกิดปัญหาของระบบย่อยอาหารได้


"โรคและวิธีการป้องกัน"


โรคที่พบบ่อยในแมวเปอร์เซียนั้นส่วนใหญ่จะเป็นโรคที่เกิดขึ้นและถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น โรคหายใจขัด หอบ หรือ ท่อน้ำตาอุดตัน เป็นต้น นอกจากนี้ แมวเปอร์เซียที่มีสีขาวรวมถึงแมวเปอร์เซียที่มีตาสีฟ้าหรือตาข้างละสีมักมีความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด คือ หูหนวก อีกด้วย



อย่างไรก็ตาม โรคท่อน้ำตาอุดตัน และปัญหาคราบน้ำตา เป็นปัญหาที่พบบ่อยและถูกถามถึงมากที่สุด อาการที่พบ คือ มีน้ำตา ไหลในตาข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้าง ไม่มีอาการหรี่ตา น้ำตาที่ไหลออกมาเป็นน้ำตาใสๆ ร่วมกับมีคราบติดบริเวณร่องจมูก ซึ่งโรคนี้เป็นโรคทางพันธุกรรม เกิดจากการสะสมของแบคทีเรียในท่อน้ำตา เนื่องจากท่อน้ำตาและโพรงจมูกของแมวเปอร์เซียคดไปคดมา


เมื่อเจ้าเหมียวของคุณประสบปัญหานี้เข้า การแก้ปัญหาเบื้องต้น ผู้เลี้ยงอาจใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเคอยเช็ดคราบน้ำตาเป็นประจำ เพราะหากปล่อยไว้จนแห้ง อาจเช็ดไม่ออก หมดสวยหมดหล่อไม่รู้ด้วยนะคะ


แต่ถ้าหากมีคราบน้ำตามเยอะและข้นกว่าปกติ อาจต้องใช้ยาป้ายตาร่วมกับการเช็ดคราบน้ำตา หรืออาจพาไปพบสัตวแพทย์เพื่อล้างท่อน้ำตา และทำการรักษาต่อไปขอขอบคุณข้อมูลจาก





เรื่องของแมวๆๆๆกับหมาๆๆๆ







เคยคิดไหมว่า ถ้าเจ้าเหมียวพูดได้มันคงจะพูดเก่งน่าดู เพราะว่ามันร้องเมี๊ยวเมี๊ยว ทั้งวัน นอกจากเสียงเมี๊ยว เมี๊ยว แล้ว เจ้ามแวยังส่งเสียงร้องอื่นๆอีกนั้น เค้าต้องการสื่สารถึงอะไร ถึงยังไม่รู้ เรามีคำตอบมาบอกกัน




"เหมียว เหมียว"



อาจเป็นเสียงที่เกิดขึ้นจากที่ลูกแมวถูกปล่องทิ้งตามลำพัง หรือไม่มีความสุข เมื่อลูกแมวเปล่งเสียงนี้ออกมาก็ต่อเมื่อมันหลุดออกจากลัง หรือกำลังหนาว หรือจะบอกว่าไม่พอใจก็ได้ ถ้ามีใครมารบกวนตอนที่หลับ และถ้าแมวตัวนั้นขาดความเอาใจใส่ดูแลก็สามารถร้องอย่างนี้ได้เหมือนกัน รวมไปถึงการร้องเรียกเวลาถึงฤดูผสมพันธุ์ด้วย



"เสียงขู่/คำราม "


ย้ำกันอีกครั้งว่าเสียงขู่คำรามของเหมียว คือคำเตือนชั้นดี เป็นสัญญาณของอารมณ์ที่กำลังรุนแรง ไม่สบอารมณ์โจ๋ เหมียวบางตัวจะใช้ประกอบกับการเอาอุ้งเท้าไปตะปบหรือกัด บางคนอาจเข้าใจผิดคิดว่ามันหยอก แต่จริงๆ เหมียวโกรธนะจ๊ะ



"เสียงคราง"


ต้นกำเนิดเสียงมาจากการสั่นสะเทือนของลำคือ เสียงนี้มีหลากหลายความหมาย ระดับเสียงก็ไม่เหมือนกันในแต่ละตัว สถานการณ์ที่ใช้ก็แตกต่างกันอีกตะหาก เหมียวบางตัวอาจครางเสียงดังมากจนได้ยินกันไปทั้งบ้าน ขนทั้งตัวพอง ตัวสั่นไปหมด หรือเหมียวบางตัวอาจแค่ครางเบาๆ ก็เพียงพอกับการแสดงออกของมัน เสียงครางของเจ้าเหมียวโดยปกติทั่วไปนั้น จะใช้แสดงออกถึงความสุข ยามเจ้าของสุดที่รักมาลูบหัว ให้ความรัก และ เอาใจใส่กับมัน



"เสียงแหลม"




เวลาเจ้าเหมียวส่งเสียงแบบนี้ ตีความได้เลยว่ามันกำลังประหลาดใจแบบสุดๆ บางบ้านอาจพบว่ามันเสียงแหลมเพื่อทักทายเมื่อกำลังก้าวเท้าเข้าบ้าน ความหมายก็คือ "เฮ้" เพราะอยากทักทายคุณ อีกความหมายหนึ่งก็คือ "เฮ้ๆ อยู่นี่น้อ..สนใจฉันหน่อยสิเจ้านาย" นอกจากนี้เสียงร้องที่สูงและต่ำเป็นการแสดงถึงการจับคู่กันด้วย


-------------------------------

"สุนัข ฉลาดเท่าเด็ก 2 ขวบ"



ศาสตราจารย์สแตนลีย์ โคเร็น อาจารย์มหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา เผยว่า ผลทดสอบวัดระดับความฉลาดของสุนัข พบว่า มีระดับสติปัญญาพอๆ กับเด็กอายุ 2 ขวบ


ผลวิจัยครั้งนี้ได้มาจากการใช้แบบทดสอบพัฒนาการทางภาษาและการเข้าใจในหลักคณิตศาสตร์ที่ใช้กับเด็กๆ ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาถือว่าไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ในหมู่คนที่เคยเลี้ยงสุนัขแสนรู้ เพราะพบข้อมูลชัดเจนว่า สุนัขสายพันธุ์ทั่วๆ ไปสามารถเรียนรู้และเข้าใจคำพูด สัญลักษณ์ รวมถึงสัญญาณต่างๆ ได้ประมาณ 165 ลักษณะ


สำหรับกลุ่มสุนัขสายพันธุ์ที่มีความแสนรู้มากกว่าสุนัขทั่วไปมี 20เปอร์เซ็นต์ และจะเข้าใจคำ สัญลักษณ์ และสัญญาณมากถึง 250 ลักษณะ หมายความว่าฉลาดใกล้เคียงกับเด็กอายุ 2 ขวบครึ่ง


แน่นอนว่าผลวิจัยของผมไม่ได้บอกว่าเราจะนั่งคุยกับสุนัขรู้เรื่อง แต่ชี้ว่าสุนัขมีความสามารถในการรับรู้และสื่อสารกับเราผ่านการดูท่าทางและรับฟังคำสั่งคล้ายๆ กับเด็ก 2 ขวบ" ศ.โคเร็น กล่าว นอกจากนั้น ผลจัดอันดับสุนัขแสนรู้ 5 สายพันธุ์แรกโดยทีมงานของโคเร็น ประกอบด้วย


1. บอร์เดอร์ คอลลี่

2. พุดเดิ้ล

3. เยอรมันเชฟเฟิร์ด

4. โกลเดนรีทรีฟเวอร์

5. โดเบอร์แมน พิ้นเชอร์

เลือกนาฬิกาให้เหมาะกับธาตุ

สีสันนาฬิกาที่เหมาะกับธาตุของแต่ละคน



หนึ่งวันเราผูกพันกับเครื่องบอกเวลาไม่มากก็น้อย แต่หากพลิกดูหน้าประวัติศาสตร์ มนุษย์ผูกพันกับนาฬิกามาอย่างยาวนานตั้งแต่ยังใช้ดินฟ้าอากาศเป็นเครื่องบอก เวลา และพัฒนามาสู่ "นาฬิกาตุ้มถ่วง" อันเป็นผลสืบเนื่องให้มีนาฬิกาหลายรูปแบบในปัจจุบัน มองย้อนกลับมายังประเทศไทยเริ่มรู้จักการใช้นาฬิกาเมื่อครั้งสมัยรัตน โกสินทร์ตอนต้น มาถึงยุคปัจจุบัน นาฬิกาข้อมือกลายเป็นแฟชั่นอย่างหนึ่งที่ผู้บริโภคมีความต้องการสูง ส่งผลให้มีนาฬิกาหลากหลายแบบมาให้เลือกสรร แต่จะเลือกนาฬิกาข้อมืออย่างไรให้ถูกโฉลกความเป็นตัวคุณคงไม่ใช่เรื่อง ง่าย...?




คาร์ล กุสตาฟ จุง ปรมาจารย์จิตแพทย์ชาวสวิส ผู้ก่อตั้งทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ให้ความเห็นไว้ว่า ปรัชญาธาตุทั้ง 4 สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้มากมายทั้ง การบริหารจัดการ พยากรณ์ชะตาชีวิต ศิลปะ วิทยาศาสตร์กายภาพ สิ่งเหล่านี้ทำให้สามารถเข้าใจมนุษย์มากขึ้นและเสริมสร้างชีวิตให้ก้าวหน้า หากมีการแต่งตัวเหมาะสมกับบุคลิก ซึ่ง แต่ละคนมีหลายธาตุประกอบกัน แต่จะมีจุดเด่นที่บ่งบอกถึงความเป็นเอกลักษณ์อยู่ธาตุเดียว



จากการวิเคราะห์ของ คาร์ล จุง
สรุปการเลือกซื้อนาฬิกาข้อมือที่ เหมาะสมตามธาตุทั้ง 4 ไว้ดังนี้

ธาตุดิน ประกอบด้วย ราศีพฤษภ (20 เม.ย.-21 พ.ค.) ราศีกันย์ (23 ส.ค.-22 ก.ย.) และ ราศีมังกร (22 ธ.ค.-19 ม.ค.)




บุคลิก เป็นคนเน้นการสัมผัสทางกายภาพคือ ให้ความสำคัญในสิ่งที่มองเห็น ได้ยินหรือจับต้องได้ ขณะเดียวกันก็มีลักษณะเด่นในเรื่องการคุ้มครอง รักษา สะสม ต้องการข้อมูลที่เป็นจริง และยังเป็นนักปฏิบัติ ชอบแก้ปัญหา มีความอดกลั้น ไม่ย่อท้อ สัญลักษณ์ธาตุดิน เป็นสามเหลี่ยมคว่ำมีขีดทับกลางสีเขียว ซึ่งเป็นสีของพืชที่ปกคลุม พื้นดิน (หรือสี่เหลี่ยมสีเหลือง แล้วแต่ตำรา) นาฬิกาที่ถูกโฉลก คือ สีเหลือง และ เขียว สะท้อนความเรียบง่ายสมบุกสมบันและผ่อนคลาย ด้วยบุคลิกคล่องแคล่ว กระฉับกระเฉง นาฬิกาที่เหมาะสม ต้องเรียบง่ายเข้ากับบุคลิก เช่น นาฬิกาแนวสปอร์ตหรือสายหนังเรียบ ๆ ซึ่งถือเป็นเครื่องนำโชคที่เหมาะสม


---------------------------------------------------


ธาตุน้ำ ประกอบด้วย ราศี กรกฎ (21 มิ.ย.-22 ก.ค.) ราศีพิจิก (23 ต.ค.-22 พ.ย.) และราศีมีน (19 ก.พ.- 20 มี.ค.)




มีความเป็นศิลปินสูง ธาตุนี้มีความสำคัญต่อโลกและมนุษย์ เพราะกว่า 70% ของผิวโลกและร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยน้ำ ซึ่งหากสังเกตวงจรของน้ำจะพบว่า น้ำทะเลระเหยกลายเป็นไอจับตัวเป็นก้อนเมฆและตกลงมาเป็นฝนดังนั้นธรรมชาติของ น้ำก็คือ การค้นหาเพื่อกลับไปสู่สถานะดั้งเดิม คนธาตุนี้จึงให้ความสำคัญกับความรู้สึก จินตนาการและสัญชาตญาณรวมไปถึงสิ่งที่อธิบายด้วยเหตุผลไม่ได้ แต่สามารถรู้สึกได้เหมือนกับการเรียนรู้จากอารมณ์มากกว่าปัญญา สัญลักษณ์ประจำราศี คือ สามเหลี่ยมคว่ำสีฟ้า สีถูกโฉลกคือ สีฟ้า เครื่องประดับบนเรือนนาฬิกาต้องบ่งบอกถึงการเคลื่อนไหวเหมือนเกลียวคลื่น ที่สะท้อนจิตใจของผู้รักศิลปะ โดยต้องมีความโดดเด่นด้านการ ดีไซน์และความพิถีพิถันในรายละเอียด

---------------------------------------------------


ธาตุลม ประกอบด้วย ราศีเมถุน (21 พ.ค.-20 มิ.ย.) ราศีตุลย์ (23 ก.ย.-22 ต.ค.) และราศีกุมภ์ (20 ม.ค.-18 ก.พ.)





เป็น กลุ่มคนที่เน้นการคิด ใช้เหตุ ผลและปัญญามีความเชื่อว่า ปัญญาจะนำ ไปสู่ความจริง โดยไม่เชื่อในความรู้สึกหรือสัญชาต ญาณในการตัดสินใจ นอกจากนี้ยังเป็นธาตุแห่งความปรองดองและการรวมกลุ่ม เนื่องจากทุกชีวิตอยู่ได้ด้วยการสูดหายใจ คน สัตว์ และพืชต่างหายใจด้วยอากาศ ธาตุลมจะอยู่ไม่นิ่งชอบปรับตัวและเปลี่ยนแปลง สัญลักษณ์ คือ สามเหลี่ยมหงายมีเส้นขีดทับตรงกลาง สีเหลือง ซึ่งเป็นสีของท้องฟ้าและแสงแดด สีที่ถูกโฉลก คือ เหลืองบุษราคัม แสดงออกถึงความสว่างไสว เจิดจรัสแห่งแสงพลิ้วปลิวไหวตามสายลม นาฬิกาที่เหมาะสม ควรเป็นแนวแฟชั่นที่ให้ความรู้สึกไม่ ซ้ำซาก จำเจ เนื่องจากคนลักษณะธาตุนี้ กระฉับกระเฉง ชอบการเปลี่ยนแปลง เหมือนกับสายลมที่หมุนวนไม่หยุดนิ่ง


---------------------------------------------------


ธาตุไฟ ประกอบด้วย ราศีเมษ (21 มี.ค.-19 เม.ย.) ราศีสิงห์ (23 ก.ค.-22 ส.ค.) และราศีธนู (22 พ.ย.-21 ธ.ค.)




เป็น คนเน้นสัญชาตญาณ กระทำมากกว่าพูด ชอบริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ แต่มักไม่สามารถดูแลจนจบโครงการในสถานการณ์ที่คนอื่นมองเห็นปัญหา แต่มักมองเห็นโอกาสเสมอ บุคลิกกระตือรือร้น ชอบเอาชนะ มักเป็นผู้นำและทำหน้าที่ชักจูงใจผู้อื่น สัญลักษณ์ คือ สามเหลี่ยมหงายสีแดง สีประจำธาตุ คือ สีแดง ให้พลังความร้อนแรงดั่งเปลวเพลิง นาฬิกาที่เหมาะสม ความมีลูกเล่นของกลไกสลับซับซ้อนดีไซน์โฉบเฉี่ยว เต็มไปด้วยพลังที่คอย เสริมให้เปี่ยมล้นด้วยความเชื่อมั่นและแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา



ธาตุทั้ง 4 ในร่างกายมนุษย์


ธาตุดิน (ปถวีธาตุ) มีที่ตั้งในร่างกายมนุษย์ได้แก่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ หัวใจ ตับ ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม สมองศีรษะ กระเพาะ ไต พังผืด อาหารเก่า อาหารใหม่ ซึ่งการจะมีธาตุดินที่สมบูรณ์และมีอวัยวะธาตุดินตามที่กล่าวมาให้แข็งแรง นั้น ขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัย คือ 1.มีหัวใจที่สมบูรณ์ 2.กินอาหารที่ดี 3.มีการขับถ่ายสะดวก



ธาตุน้ำ (อาโปธาตุ) ร่างกายคนประกอบด้วยธาตุน้ำบริเวณ น้ำดี เสมหะ หนอง โลหิต เหงื่อ มันข้น น้ำตา น้ำมันเหลว ปัสสาวะ น้ำลาย น้ำมูก และไขข้อ ไหลไปมาและซึมซับทั่วไปในร่างกาย ความสมบูรณ์ของระบบธาตุน้ำในร่างกายรวมถึงการดูดซับน้ำในลำไส้ต่าง ๆ ตลอดจนการกำจัดของเสียจะขึ้นกับต่อมที่เกิดน้ำมูก เมือกต่าง ๆ ว่าสมบูรณ์หรือไม่ หากแบ่งพิจารณาจะแบ่งการควบคุมน้ำได้ 3 ส่วน คือ 1.ศอเสมหะ คือ น้ำมูก เมือกส่วนบน ตั้งแต่คอขึ้นไป 2.อุระเสมหะ คือ น้ำมูก เมือก ส่วนกลาง ตั้งแต่คอ ลงมาถึงกระเพาะอาหารและลำไส้ตอนบน 3.คูถเสมหะ คือ น้ำมูก เมือก ส่วนล่าง ตั้งแต่ลำไส้ใหญ่ตอนปลายถึงทวารหนัก



ธาตุลม (วาโยธาตุ) เป็นธาตุที่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหว การที่เราจะเดินได้ ยกแขนยกขา หรือแม้แต่การไหลของเลือด การเคลื่อนไหวของปอด ล้วนแต่เกิดจากธาตุลมทั้งสิ้น ธาตุลมในร่างกายแบ่งออกได้เป็น ลมพัดขึ้นเบื้องบนจากปลายเท้าถึงศีรษะ ลมพัดลงเบื้องล่างจากศีรษะถึงปลายเท้า ลมพัดในท้องนอกลำไส้ ลมพัดในลำไส้และกระเพาะ ลมพัดทั่วร่างกาย ลมหายใจเข้าและออก ธาตุลมจะถูกควบคุมโดยลมอีก 3 ชนิดคือ 1.หทัยวาตะ เกี่ยวกับจิตใจ 2.สัตถกวาตะ เกี่ยวกับระบบการทำงานของประสาทและเส้นเลือดเล็กทั่วไป 3.สุมนาวาตะ คือเส้นกลางตัว ประสาทกลางตัวหรือไขสันหลัง



ธาตุไฟ (เตโชธาตุ) เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงการมีชีวิตของมนุษย์ ทำให้ลมและน้ำเคลื่อนไหว ทำให้ธาตุดินอบอุ่น ไฟในร่างกายประกอบด้วย ไฟทำให้ ร่างกายอบอุ่น ไฟทำให้ร้อน ระส่ำระสาย ไฟทำให้ร่างกายเหี่ยวแห้งทรุดโทรม ไฟย่อยอาหาร ธาตุไฟถูกควบคุมโดยดีและความร้อน คือ 1.พัทธปิตตะ ดีที่อยู่ในฝัก 2.อพัทธปิตตะ ดีที่อยู่นอกฝัก 3.กำเดา องค์แห่งความร้อน

24 สิงหาคม 2552

ประวัติดังพันกร (น่ารักมั๊กมากๆๆ)

ดาราที่น่ารักและชอบจิ้งๆๆๆๆ



ดาราไทย : ดัง พันกร


ชื่อ - สกุล :
พันกร บุณยะจินดา


ชื่อเล่น :
ดัง

วันเกิด :
26/03/2522

สถานะ :
โสด

อายุ :
30 ปี

ส่วนสูง :
174 ซม.

น้ำหนัก :
58 กก.





ประวัติส่วนตัว : พันกร บุณยะจินดา
การศึกษา
อนุบาลจุไรรัตน์ ประถมที่โรงเรียนจิตรลดา ป. 5 คุณแม่จึงตัดสินใจอนุญาตให้ไปเรียนต่อที่อังกฤษ
งานอดิเรก
ร้องเพลง เล่นเป๊ยโน
สิ่งที่ชื่นชอบ
กีฬาโปรดที่เล่นเป็นประจำ แบดมินตัน ว่ายน้ำ ส่วนกีฬาที่เล่นตามฤดูกาล หน้าร้อนก็เล่นคริกเก็ต หน้าหนาวมาเล่นฟุตบอล พอถึงฤดูใบไม้ร่วงก็ชวนเพื่อนเล่นรักบี้ ชอบเล่นกีฬากลางแจ้งบแบบนี้ ชอบร้องเพลง
ศิลปินที่ชอบ
หนุ่ย อำพล ลำพูน
ของสะสม
แผ่นซีดี แว่นตา นาฬิกา
เสป็ก
ไม่ใช่ผู้หญิงจุกจิก ซิ่งๆ ฉลาด ปลาดเปลียว สุดซ่า กล้าคิดกล้าทำในสิ่งที่ถูกใจ




ที่อยู่
138 ซอยมีสุวรรณ 3 แขวงพระโขนง คลองเตย กทม. 10110

ผลงานที่ผ่านมา : พันกร บุณยะจินดา
อัลบั้ม Dunk ( 1999 )
Dunk 1,000,000 Copies ( 1999 ) Special Album
Voice of Dunk ( 1999 ) Special Album
Absolute Dunk ( Nov 21st 2000 )
The Celebration ( 2001 ) Special Album
Zodiac ( May 22nd 2001 ) Special Album
DUNK-PARN TWO SEASON ( 2001 )
DUNK FIRE ( 16 Oct 2002 )
DUNK OUT OF CONTROL ( 15 July 2004 )




กรุงเทพฯ--16 ต.ค.--อาร์เอส ดัง พันกร บุณยะจินดา กลับมากับอัลบั้มใหม่ TIMEWALKER ที่จะพาคุณกลับไปพบกับงานดนตรีแนว Pop Rock แบบถนัดของ ดัง พันกร ด้วยงานดนตรีที่หนักแน่น และเสียงร้องที่ยังคงความเข้มข้นแบบเดิม นอกเหนือจากงานดนตรีที่เข้มข้นแล้ว อัลบั้มนี้ยังมีความน่าสนใจอีกอย่างคือ การทำงานด้านภาพทั้ง ภาพนิ่ง มิวสิควิดีโอ และ คาราโอเกะ ทีมงานได้ยกกองข้ามน้ำข้ามทะเลไปทำงานกันถึงประเทศอังกฤษเพื่อให้ได้งานที่มี Art Direction ที่แตกต่างออกไป 10 ภาพแรกจากอัลบั้ม TIMEWALKER เป็นภาพจากการทำงานวันแรกที่ประเทศอังกฤษ หลังจาก ดัง พันกร ไปถึงเพียงหนึ่งวัน ทีมงานพา ดัง พันกร ถ่ายภาพบริเวณ London Bridge เพื่อให้ได้บรรยากาศความเป็น Street เป็น concept ของงานอัลบั้ม TIMEWALKER ที่เต็มไปด้วยความเท่ห์ และ เข้ม ตามสไตล์งานเพลง และตัวตนของ ดัง พันกร เตรียมตัวพบกับ ดัง พันกร ในอัลบั้ม TIMEWALKER ได้ พฤศจิกายน นี้แน่นอนคะ!!

22 สิงหาคม 2552

Honda JAZZ สวยนะๆๆ

Honda Jazz เจนเนอเรชั่น 2 เพิ่มสมรรถนะ โฉบเฉี่ยว








ฮอนด้า แจ๊ซ โฉมใหม่ เปิดตัวในไทยแล้ววันนี้ โดยมาพร้อมสไตล์ที่โฉบเฉี่ยวแบบสปอร์ตยิ่งขึ้น...



โดย ฮอนด้า แจ๊ซ เจนเนอเรชั่น 2 นี้ เป็น รถแฮทช์แบ็ค 5 ประตู ซึ่งได้รับการออกแบบที่ล้ำหน้า ให้การขับขี่ที่สนุก ประหยัดน้ำมัน เพิ่มห้องโดยสารให้กว้างขวาง และเพิ่มวิสัยทัศน์ในการขับขี่ที่ดีขึ้น เหมาะกับคนรุ่นใหม่และคนที่มีหัวใจหนุ่มสาว ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูโฉบเฉี่ยว และสามารถใช้ได้กับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ที่ประหยัดน้ำมัน อีกทั้งยังได้นักแสดงวัยรุ่น อย่าง มาริโอ มาวเรอร์ และ มารีญา ลินน์ เอียเรียน มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ให้กับโฆษณาของฮอนด้า แจ๊ซ โฉมใหม่นี้อีกด้วย



ภายในห้องโดยสารสามารถปรับที่นั่งได้หลายรูปแบบ ด้วยที่นั่งแบบ ‘อัลตราซีท’ ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างอิสระ ซึ่งมาพร้อมกับเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร

i-VTEC ให้กำลังสูงสุด 120 แรงม้า มีให้เลือก 3 รุ่น ได้แก่ รุ่น S, รุ่น V และ รุ่น SV โดยราคาจำหน่ายอยู่ที่ 550,000 – 695,000 บาท ซึ่งขึ้นอยู่กับรุ่นและคุณสมบัติ มีให้เลือก 6 สี คือ สีฟ้าซูเลียน (เมทัลลิก) , สีแดงแรลลี่, สีขาวทาฟเฟต้า , สีเงินอลาบาสเตอร์ (เมทัลลิก) , สีเทาซิลเวอร์สโตน (เมทัลลิก) และ สีดำไนท์ฮอว์ก (มุก)



19 สิงหาคม 2552

++มาช่วยกันหยุดโลกร้อนกันดีกว่า++


80 วิธีหยุดโลกร้อนไม่ว่าใครก็สามารถช่วยลดความร้อนให้กับโลกได้ตั้ง 80 ช่องทาง...


ประชาชนทั่วไป



1.ลดการใช้พลังงานในบ้านด้วยการปิดทีวี คอมพิวเตอร์ เครื่องเสียง และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เมื่อไม่ได้ใช้งาน จะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้นับ 1 พันปอนด์ต่อปี

2.ลดการสูญเสียพลังงานในโหมดสแตนด์บาย เครื่องเสียงระบบไฮไฟ โทรทัศน์ เครื่องบันทึกวิดีโอ คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและอุปกรณ์พ่วงต่างๆ ที่ติดมาด้วยการดึงปลั๊กออก หรือใช้ปลั๊กเสียบพ่วงที่ตัดไฟด้วยตัวเอง


3.เปลี่ยนหลอดไฟ เป็นหลอดไฟประหยัดพลังงานแบบขดที่เรียกว่า Compact Fluorescent Lightbulb (CFL) จะประหยัดไฟได้ถึง 40 - 50%



4.เปลี่ยนไปใช้ไฟแบบหลอด LED จะได้ไฟที่สว่างกว่าและประหยัดกว่าหลอดปกติ 40% สามารถหาซื้อหลอดไฟ LED ที่ใช้สำหรับโคมไฟตั้งโต๊ะและตั้งพื้นได้ด้วย จะเหมาะกับการใช้งานที่ต้องการให้มีแสงสว่างส่องทาง เช่น ริมถนนหน้าบ้าน การเปลี่ยนหลอดไฟจากหลอดไส้จะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 150 ปอนด์ต่อปี




5.ช่วยกันออกความเห็นหรือรณรงค์ให้รัฐบาลพิจารณาข้อดีข้อเสียของการเรียกเก็บภาษีคาร์บอนกับภาคการผลิต ตามอัตราการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากเชื้อเพลิงฟอสซิลรูปแบบต่างๆ หรือการใช้ก๊าซโซลีน เป็นรูปแบบการใช้ภาษีทางตรงที่เชื่อว่า หากโรงงานต้องจ่ายค่าภาษีแพงขึ้นก็จะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในกระบวนการผลิตลง ซึ่งจะช่วยลดปริมาณการปล่อย CO2 ลงได้ประมาณ 5%

6.ขับรถยนต์ส่วนตัวให้น้อยลง ด้วยการปั่นจักรยาน ใช้รถโดยสารประจำทาง หรือใช้การเดินแทนเมื่อต้องไปทำกิจกรรมหรือธุระใกล้ๆ บ้าน เพราะการขับรถยนต์น้อยลง หมายถึงการใช้น้ำมันลดลง และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ด้วย เพราะน้ำมันทุกๆ แกลลอนที่ประหยัดได้ จะลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 20 ปอนด์


7.ไปร่วมกันประหยัดน้ำมันแบบ Car Pool นัดเพื่อนร่วมงานที่มีบ้านอาศัยใกล้ๆ นั่งรถยนต์ไปทำงานด้วยกัน ช่วยประหยัดน้ำมัน และยังเป็นการลดจำนวนรถติดบนถนน ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ทางอ้อมด้วย

8.จัดเส้นทางรถรับส่งพนักงาน ถ้าในหน่วยงานมีพนักงานจำนวนมากอาศัยอยู่ในเส้นทางใกล้ๆ กัน ควรมีสวัสดิการจัดหารถรับส่งพนักงานตามเส้นทางสำคัญๆ เป็น Car Pool ระดับองค์กร
9.เปิดหน้าต่างรับลมแทนเปิดเครื่องปรับอากาศ ลดการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้ไฟฟ้าเพื่อเปิดเครื่องปรับอากาศ

10.มองหาผลิตภัณฑ์ที่มีสัญลักษณ์ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม เช่น ป้ายฉลากเขียว ประหยัดไฟเบอร์ 5 มาตรฐานผลิตภัณฑ์คุณภาพสินค้าเกษตรอินทรีย์ เพราะการจะได้ใบรับรองนั้น จะต้องมีการประเมินสินค้าตั้งแต่เริ่มต้นหาวัตถุดิบ


11.ไปตลาดสดแทนซูเปอร์มาร์เก็ตบ้าง ซื้อผัก ผลไม้ หมู ไก่ ปลา ในตลาดสดใกล้บ้าน แทนการช็อปปิ้งในซูเปอร์มาร์เก็ตบ้าง ที่อาหารสดทุกอย่างมีการ***บห่อด้วยพลาสติกและโฟม ทำให้เกิดขยะจำนวนมาก


12.เลือกซื้อเลือกใช้ เมื่อต้องซื้อรถยนต์ใช้ในบ้าน หรือรถยนต์ประจำสำนักงานก็หันมาเลือกซื้อรถประหยัดพลังงาน รวมทั้งเลือกอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฉลากประหยัดไฟ ทั้งในบ้านและอาคารสำนักงาน

13.เลือกซื้อรถยนต์ที่มีขนาดตามความจำเป็น โดยพิจารณาจากขนาดครอบครัวและประโยชน์การใช้งาน รวมทั้งพิจารณารุ่นที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุด เพื่อเปรียบเทียบราคา


14.ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเลือกรถโฟว์วีลขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ เพราะกินน้ำมันมาก และตะแกรงขนสัมภาระบนหลังคารถก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็น เพราะเป็นการเพิ่มน้ำหนักรถให้เปลืองน้ำมัน

15.ขับรถอย่างมีประสิทธิภาพ ในระยะทางไกลการขับรถด้วยความเร็วไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะช่วยลดการใช้น้ำมันลงได้ 20% หรือคิดเป็นปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ลดได้ 1 ตันต่อรถยนต์แต่ละคันที่ใช้งานราว 3 หมื่นกิโลเมตรต่อปี

16.ขับรถเที่ยวไปลดคาร์บอนไดออกไซด์ไปพร้อมกัน เพราะมีบริษัทเช่ารถใหญ่ๆ 2-3 รายมีรถรุ่นเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่ใช้เอทานอล หรือน้ำมันเชื้อเพลิงทางเลือกอื่นๆ ด้วย ลองสอบถามบริษัทรถเช่าเมื่อเดินทางไปถึง


17.เลือกใช้บริการโรงแรมที่มีสัญลักษณ์สิ่งแวดล้อม เช่น มีมาตรการประหยัดน้ำ ประหยัดพลังงาน และมีระบบจัดการของเสีย มองหาป้ายสัญลักษณ์ เช่น โรงแรมใบไม้สีเขียว มาตรฐานผลิตภัณฑ์คุณภาพ

18.ตรวจเช็คลมยาง การขับรถที่ยางลมมีน้อยอาจทำให้เปลืองน้ำมันได้ถึง 3% จากภาวะปกติ


19.เปลี่ยนมาใช้พลังงานชีวภาพ เช่น ไบโอดีเซล เอทานอล ให้มากขึ้น

20.โละทิ้งตู้เย็นรุ่นเก่า ตู้เย็นที่ผลิตเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เพราะใช้ไฟฟ้ามากเป็น 2 เท่าของตู้เย็นสมัยใหม่ที่มีคุณภาพสูง ซึ่งช่วยประหยัดค่าไฟลงได้มาก และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 100 กิโลกรัมต่อปี

21.ยืดอายุตู้เย็นด้วยการใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดพลังงานให้ตู้เย็นด้วยการใช้อย่างฉลาด ไม่นำอาหารร้อนเข้าตู้เย็น หลีกเลี่ยงการนำถุงพลาสติกใส่ของในตู้เย็น เพราะจะทำให้ตู้เย็นจ่ายความเย็นได้ไม่ทั่วถึงอาหาร ควรย้ายตู้เย็นออกจากห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศ ละลายน้ำแข็งที่เกาะในตู้เย็นเป็นประจำ เพราะตู้เย็นจะกินไฟมากขึ้นเมื่อมีน้ำแข็งเกาะ และทำความสะอาดตู้เย็นทุกสัปดาห์

22.ริเริ่มใช้พลังงานทางเลือกในอาคารสำนักงาน เช่น ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ในการผลิตกระแสไฟฟ้าเฉพาะจุด

23.ใช้แสงแดดให้เป็นประโยชน์ ในการตากเสื้อผ้าที่ซักแล้วให้แห้ง ไม่ควรใช้เครื่องปั่นผ้าแห้งหากไม่จำเป็น เพื่อประหยัดการใช้ไฟฟ้า


24.ใช้น้ำประปาอย่างประหยัด เพราะระบบการผลิตน้ำประปาของเทศบาลต่างๆ ต้องใช้พลังงานจำนวนมากในการทำให้น้ำสะอาด และดำเนินการจัดส่งไปยังอาคารบ้านเรือน

25.ติดตั้งฝักบัวอาบน้ำที่ปรับความแรงน้ำต่ำๆ ได้ เพื่อจะได้เปลืองน้ำอุ่นน้อยๆ (เหมาะทั้งในบ้านและโรงแรม)

26.ติดตั้งเครื่องตัดกระแสไฟฟ้าอัตโนมัติ ช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้าและลดปริมาณการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นจากโรงผลิตกระแสไฟฟ้า


27.สร้างนโยบาย 3Rs- Reduce, Reuse, Recycle ทั้งในบ้านและอาคารสำนักงาน เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ทรัพยากรอย่างเต็มที่ เป็นการลดพลังงานในการกำจัดขยะ ลดมลพิษและลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

28.ป้องกันการปล่อยก๊าซมีเทนสู่บรรยากาศ ด้วยการแยกขยะอินทรีย์ เช่น เศษผัก เศษอาหาร ออกจากขยะอื่นๆ ที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้มาใช้ให้เกิดประโยชน์


29.ทาหลังคาบ้านด้วยสีอ่อน เพื่อช่วยลดการดูดซับความร้อน

30.นำแสงธรรมชาติมาใช้ในอาคารบ้านเรือน โดยใช้การออกแบบบ้าน และตำแหน่งของช่องแสงเป็นปัจจัย ซึ่งจะช่วยลดจำนวนหลอดไฟและพลังงานไฟฟ้าที่ต้องใช้

31.ปลูกต้นไม้ในสวนหน้าบ้าน ต้นไม้ 1 ต้น จะดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 1 ตัน ตลอดอายุของต้นไม้


32.ปลูกไผ่แทนรั้ว ต้นไผ่เติบโตเร็ว เป็นรั้วธรรมชาติที่สวยงาม และยังดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ดี

33.ใช้ร่มเงาจากต้นไม้ช่วยลดความร้อนในตัวอาคารสำนักงานหรือบ้านพักอาศัย ทำให้สามารถลดความต้องการใช้เครื่องปรับอากาศ เป็นการลดการใช้ไฟฟ้า

34.ไม่ใช้ปุ๋ยเคมีในสวนไม้ประดับที่บ้าน แต่ขอให้เลือกใช้ปุ๋ยหมักจากธรรมชาติแทน

35.ลดปริมาณการใช้ถุงพลาสติก เพราะถุงพลาสติกไม่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ และการเผากำจัดในเตาเผาขยะอย่างถูกวิธีต้องใช้พลังงานจำนวนมาก ซึ่งทำให้มีก๊าซเรือนกระจกเพิ่มในบรรยากาศ

36.เลือกซื้อสินค้าที่มี"ห่อน้อย"ห่อหลายชั้นคือการเพิ่มขยะอีกหลายชิ้นที่จะต้องนำไปกำจัดเป็นการเพิ่มปริมาณก๊าซเรือนกระจกสู่บรรยากาศโดยไม่จำเป็น


37.เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ซื้อเติมใหม่ได้ เพื่อเป็นการลดขยะจาก***ห่อของบรรจุภัณฑ์

38.ใช้กระดาษทั้ง 2 หน้า เพราะกระบวนการผลิตกระดาษแทบทุกขั้นตอนใช้พลังงานจากน้ำมันและไฟฟ้าจำนวนมาก

39.เลือกใช้กระดาษรีไซเคิล กระดาษรีไซเคิลช่วยลดขั้นตอนหลายขั้นตอนในกระบวนการผลิตกระดาษ



40.ตั้งเป้าลดการผลิตขยะของตัวเองให้ได้ 1 ใน 4 ส่วน หรือมากกว่า เพื่อช่วยประหยัดทรัพยากรและลดก๊าซเรือนกระจกได้อีกจำนวนมาก เมื่อลองคูณ 365 วัน กับจำนวนปีที่เหลือก่อนเกษียณ

41.สนับสนุนสินค้าและผลิตผลจากเกษตรกรในท้องถิ่นใกล้บ้าน ช่วยให้เกษตรกรในพื้นที่ไม่ต้องขนส่งผลิตผลให้พ่อค้าคนกลางนำไปขายในพื้นที่ไกลๆ

42.บริโภคเนื้อวัวให้น้อยลง ทานผัก (ปลอดสารพิษ) ให้มากขึ้น ฟาร์มเลี้ยงวัว คือ แหล่งหลักในการปลดปล่อยก๊าซมีเทนสู่บรรยากาศ หันมารับประทานผักให้มากขึ้น ทานเนื้อวัวให้น้อยลง

43.ทานสเต๊กและแฮมเบอร์เกอร์ในร้านใหญ่ๆ ให้น้อยลง เพราะอุตสาหกรรมเนื้อระดับนานาชาติ ผลิตก๊าซเรือนกระจกถึง 18% สาเหตุหลักก็คือไนตรัสออกไซด์จากมูลวัวและมีเทน ซึ่งถูกปลดปล่อยออกมาจากลักษณะทางธรรมชาติของวัวที่ย่อยอาหารได้ช้า (มีกระเพาะอาหาร 4 ตอน) มีเทนเป็นก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาเรือนกระจกได้มากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 23 เท่า ในขณะที่ไนตรัสออกไซด์ก่อผลได้มากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ 296 เท่า

44.ชักชวนคนอื่นๆ รอบข้างให้ช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อมและลดปัญหาภาวะโลกร้อน ให้ความรู้ความเข้าใจและชักชวนคนใกล้ตัว รวมทั้งเพื่อนบ้านรอบๆ ตัวคุณ เพื่อขยายเครือข่ายผู้ร่วมหยุดโลกร้อนให้กว้างขวางขึ้น

45.ร่วมกิจกรรมรณรงค์สิ่งแวดล้อมในชุมชน แล้วลองเสนอกิจกรรมรณรงค์ให้ความรู้และกระตุ้นให้เกิดการร่วมมือ เพื่อลงมือทำกิจกรรมสิ่งแวดล้อมที่ต่อเนื่อง และส่งผลให้คนในชุมชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

46.เลือกโหวตแต่พรรคการเมืองที่มีนโยบายสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจน จริงใจ และตั้งใจทำจริง เพราะนักการเมืองคือคนที่เราส่งไปเป็นตัวแทนทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎร โปรดใช้ประโยชน์จากพวกเขาตามสิทธิที่คุณมี ด้วยการเลือกนักการเมืองจากพรรคการเมืองที่มีนโยบายชัดเจนเรื่องสิ่งแวดล้อมและการลดปัญหาโลกร้อน

47.ซื้อให้น้อยลง แบ่งปันให้มากขึ้น อยู่อย่างพอเพียง



เกษตรกร ชาวสวน ชาวไร่ ชาวนา ก็สามารถช่วยได้ด้วยการ


48.ลดการเผาป่าหญ้า ไม้ริมทุ่ง และต้นไม้ชายป่า เพื่อกำจัดวัชพืชและเปิดพื้นที่ทำการเกษตร เพราะเป็นการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่บรรยากาศจำนวนมาก นอกจากนั้นการตัดและเผาทำลายป่ายังเป็นการทำลายแหล่งกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สำคัญ


49.ปลูกพืชผักให้หลากหลายและปลูกตามฤดูกาลในท้องถิ่น เป็นการลดการปลูกพืชผักนอกฤดูกาลที่ต้องใช้พลังงานเพื่อถนอมอาหาร และผ่านกระบวนการบรรจุเป็นอาหารกระป๋อง


50.รวมกลุ่มสร้างตลาดผู้บริโภค-ผู้ผลิตโดยตรงในท้องถิ่น เพื่อลดกระบวนการขนส่งผ่านพ่อค้าคนกลาง ที่ต้องใช้พลังงานและน้ำมันในการคมนาคมขนส่งพืชผักผลไม้ไปยังตลาด

51.ลดการใช้สารเคมีในการเกษตร นอกจากจะเป็นการลดปัญหาการปลดปล่อยไนตรัสออกไซด์สู่บรรยากาศโลกแล้ว ในระยะยาวยังเป็นการลดต้นทุนการผลิต และทำให้คุณภาพชีวิตของเกษตรกรดีขึ้น โปรดปรึกษาและเรียนรู้จากกลุ่มเกษตรกรทางเลือกที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในประเทศไทย




สถาปนิกและนักออกแบบ


52.ออกแบบพิมพ์เขียวบ้านพักอาศัยที่สามารถช่วย “หยุดโลกร้อน” การลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก โดยคิดถึงการติดตั้งระบบการใช้พลังงานที่ง่าย ไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีสูงๆ แต่ใช้งานได้จริง ลองคิดถึงวิธีการที่คนรุ่นปู่ย่าใช้ในการสร้างบ้านสมัยก่อน ซึ่งมีการพึ่งพาทิศทางลม การดูทิศทางการขึ้น-ตกของดวงอาทิตย์ อาจช่วยลดค่าใช้จ่ายเรื่องพลังงานในบ้านได้ถึง 40%


53.ช่วยออกแบบสร้างบ้านหลังเล็ก บ้านหลังเล็กใช้พลังงานน้อยกว่าบ้านหลังใหญ่ และใช้วัสดุอุปกรณ์การก่อสร้างน้อยกว่า




สื่อมวลชน นักสื่อสารและโฆษณา



54.ใช้ความเชี่ยวชาญในวิชาชีพเพื่อให้ความรู้ และสร้างความตระหนักกับสาธารณชนเกี่ยวกับปัญหาภาวะโลกร้อน และทำให้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นประเด็นของท้องถิ่น


55.สร้างความสนใจกับสาธารณชน เพื่อทำให้ประเด็นโลกร้อนอยู่ในความสนใจของสาธารณชนอย่างต่อเนื่อง

56.ช่วยกันเล่าความจริงเรื่องโลกร้อน โปรดช่วยกันสื่อสารให้ประชาชนและรัฐบาลเข้าใจสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้น

57.เป็นผู้นำกระแสของสังคมเรื่องชีวิตที่พอเพียง ต้นตอหนึ่งของปัญหาโลกร้อนก็คือกระแสการบริโภคของผู้คน ทำให้เกิดการบริโภคทรัพยากรจำนวนมหาศาล ชีวิตที่ยึดหลักของความพอเพียง โดยมีฐานของความรู้และคุณธรรมตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จึงน่าจะเป็นหนทางป้องกันและลดปัญหาโลกร้อนที่สังคมโลกกำลังเผชิญหน้าอยู่

58.ใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อร่วมรับผิดชอบสังคม ออกแบบงานโฆษณาที่สอดแทรกประเด็นปัญหาของภาวะโลกร้อนอย่างมีรสนิยม เรื่องที่เป็นจริงและไม่โกหก



ครู อาจารย์


59.สอนเด็กๆ ในขั้นเรียน เกี่ยวกับปัญหาโลกร้อน


60.ใช้เทคนิคการเรียนรู้หลากหลายจากกิจกรรม ดีกว่าสอนโดยให้เด็กฟังครูพูดและท่องจำอย่างเดียว



นักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ และวิศวกร


61ค้นคว้าวิจัยหาแนวทางและเทคโนโลยีใหม่ที่มีประสิทธิภาพในการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

62.ศึกษาและทำวิจัยในระดับพื้นที่ เพื่อให้มีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบของภาวะโลกร้อนต่อพื้นที่เสี่ยงของประเทศไทย

63.ประสานและทำงานร่วมกับนักสื่อสารและโฆษณา เพื่อแปลงข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ไปสู่การรับรู้และเข้าใจของประชาชนในสังคมวงกว้าง



นักธุรกิจ อุตสาหกรรมและบริการ



64.นำก๊าซมีเทนจากกองขยะมาใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ ด้วยการลงทุนพัฒนาให้เป็นพลังงานทดแทนที่มีประสิทธิภาพ แต่มีต้นทุนต่ำ

65.สนับสนุนนักวิจัยในองค์กร ค้นคว้าผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมีประสิทธิภาพในการลดการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล

66.เป็นผู้นำของภาคธุรกิจอุตสาหกรรมที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม หากยังไม่มีใครเริ่มต้นโครงการที่ช่วยหยุดปัญหาโลกร้อนอย่างจริงจัง ก็จงเป็นผู้นำเสียเอง

67.สร้างแบรนด์องค์กรที่เน้นการดูแลและใส่ใจโลก ไม่ใช่แค่การสร้างภาพลักษณ์ภายนอก แต่เป็นการสร้างความเชื่อมั่นเรื่องความรับผิดชอบที่มาจากภายในองค์กร



นักการเมือง ผู้ว่าราชการฯ และรัฐบาล


68.วางแผนการจัดหาพลังงานในอนาคต รัฐจำเป็นต้องมีการวิเคราะห์ทางเลือกเพื่อมุ่งจัดการแก้ไขปัญหาพลังงานและสิ่งแวดล้อม ที่มองไปข้างหน้าอย่างน้อยที่สุด 50 ปี

69.สนับสนุนให้มีการพัฒนาการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งการสนับสนุนงบประมาณในการวิจัย และการพัฒนาระบบให้มีต้นทุนต่ำและคุ้มค่าในการใช้งาน


70.สนับสนุนกลไกต่างๆ สำหรับพลังงานหมุนเวียน เพื่อสร้างแรงจูงใจในการปรับปรุงเทคโนโลยีและการลดต้นทุน

71.สนับสนุนอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชน รัฐบาลควรหามาตรการที่ชัดเจนในการสนับสนุนอุตสาหกรรมหมุนเวียน ซึ่งเป็นพลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม เพื่อให้สามารถแข่งขันกับอุตสาหกรรมพลังงานอื่นๆ ที่ใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ที่เป็นสาเหตุหลักของการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศ



72.มีนโยบายทางการเมืองที่ชัดเจนในการสนับสนุนการ “หยุดภาวะโลกร้อน” เสนอต่อประชาชน


73.สนับสนุนโครงสร้างทางกายภาพ เมื่อประชาชนตระหนักและต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เช่น จัดการให้มีโครงข่ายทางจักรยานที่ปลอดภัยให้กับประชาชนในเมืองสามารถขับขี่จักรยาน ลดการใช้รถยนต์

74.ลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวบนถนนในกรุงเทพมหานครอย่างจริงจัง ด้วยการสนับสนุนระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพ


75.ส่งเสริมเครือข่ายการตลาดให้กับกลุ่มเกษตรกรทางเลือก เกษตรกรจำนวนมากเป็นตัวอย่างที่ดีของการลดปัญหาโลกร้อน ด้วยการลดและเลิกการใช้สารเคมีที่ทำให้เกิดการปลดปล่อยไนตรัสออกไซด์สู่บรรยากาศโลก ซึ่งการส่งเสริมการตลาดสีเขียวด้วยการสร้างเครือข่ายการตลาดที่กระจายศูนย์ไปสู่กลุ่มจังหวัดหรือภูมิภาค จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากกระบวนการขนส่งผลผลิตไปยังตลาดไกลๆ อีกด้วย

76.ริเริ่มอย่างกล้าหาญกับระบบพลังงานแบบกระจายศูนย์ เพื่อลงทุนกับทางเลือกและทางรอดในระยะยาว

77.พิจารณาใช้กฎหมายการเก็บภาษีเป็นเครื่องมือในการควบคุมปริมาณก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะคาร์บอนไดออกไซด์ เช่น การเก็บภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) สำหรับภาคอุตสาหกรรม

78.เปลี่ยนแปลงระบบการจัดเก็บภาษี นั่นคือการสร้างระบบการจัดเก็บภาษีที่สามารถสะท้อนให้เห็นต้นทุนทางอ้อมจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจตัวใดตัวหนึ่ง ซึ่งทำให้สังคมต้องแบกรับภาระนั้นอย่างชัดเจน เช่น ภาษีที่เรียกเก็บจากถ่านหิน ก็จะต้องรวมถึงต้นทุนในการดูแลรักษาสุขภาพที่จะต้องเพิ่มขึ้นจากปัญหามลพิษ และต้นทุนความเสียหายจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป


79.ปฏิรูปภาษีสิ่งแวดล้อม เป็นก้าวต่อไปที่ท้าทายของนักการเมืองและรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างใหญ่หลวงในการปรับเปลี่ยนและสร้างจิตสำนึกใหม่ให้สังคม การเพิ่มการจัดเก็บภาษีสำหรับกิจกรรมที่มีผลทำลายสภาพแวดล้อมให้สูงขึ้นเป็นการชดเชย เช่น กิจกรรมที่มีการปล่อยคาร์บอน ภาษีจากกองขยะ ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ หลายประเทศโดยเฉพาะในยุโรปตะวันตกนำแนวคิดนี้ไปใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 ปัจจุบันนี้ประเทศใหญ่ๆ ในสหภาพยุโรปก็ร่วมดำเนินการด้วย และพบว่าการปรับเปลี่ยนระบบการจัดเก็บภาษีดังกล่าว ไม่มีผลต่อการปรับเปลี่ยนระดับการจัดเก็บภาษี หากแต่มีผลกับโครงสร้างของระบบภาษีเท่านั้น



80.กำหนดทิศทางประเทศให้มุ่งสู่แนวทางของการดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง ที่สามารถยืนหยัดอยู่รอดอย่างเข้มแข็งในสังคมโลก เริ่มต้นด้วยการใส่ประโยคที่ว่า ประเทศไทยจะต้องยึดหลักเศรษฐกิจตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นแกนหลักของการพัฒนาประเทศไว้ในรัฐธรรมนูญได้หรือไม่